โครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่าน Digital Wallet ป.ป.ช.ส่งข้อเสนอแนะ ‘รัฐบาลเศรษฐา’ ชี้เสี่ยงขัด กม.
เปิดข้อเสนอแนะ รายงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน ไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาเรื่องนโยบายแจกเงินดิจิทัลโดยสาระสำคัญของข้อเสนอแนะ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน ไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาเรื่องนโยบายแจกเงินดิจิทัลแล้ว แบ่งเป็น ประเด็นสุ่มเสี่ยง 4 ข้อใหญ่ และข้อเสนอแนะ 8 ข้อให้ป้องกันความสุ่มเสี่ยงดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้
1.ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริต
ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย
จากกรณีที่พรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายในตอนหาเสียงว่าจะแจกเงินให้แก่ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ทุกคนคนละ 10,000 บาท จ านวน 56 ล้านคน เป็นเงิน 560,000 ล้านบาท โดยแสดงแหล่งที่มาของเงินต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่ามาจาก 4 แหล่ง โดยการบริหารงบประมาณ ไม่ได้มาจากการกู้เงินแต่อย่างใด ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้แจงว่าการด าเนินโครงการดังกล่าวโดยนำมาจากเงินงบประมาณสามารถกระทำได้แต่ต่อมาเมื่อได้จัดตั้งรัฐบาลในคราวแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เงื่อนไขในการแจกเงินเปลี่ยนไป โดยรัฐบาลจะมอบสิทธิการใช้จ่าย 10,000 บาท ให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ไม่ถึง 7 หมื่นบาทต่อเดือน และมีเงินฝากต่ำกว่า 5 แสนบาท ถ้ารายได้เกิน 7 หมื่นบาท แต่มีเงินฝากน้อยกว่า 5แสนบาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิ หรือถ้ารายได้น้อยกว่า 7 หมื่นบาท แต่มีเงินฝากมากกว่า 5 แสนบาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิเช่นกัน โดยให้สิทธิใช้ครั้งแรกในเวลา 6 เดือน หลังจากโครงการเริ่ม และขยายพื้นที่การใช้จ่ายให้ครอบคลุมระดับอำเภอ โดยคาดว่าจะผู้ได้รับสิทธิประมาณ 50 ล้านคน
แหล่งที่มาของเงินเปลี่ยนไป โดยการจะออกพระราชบัญญัติกู้เงิน 500,000 ล้านบาท โดยอ้างเหตุวิกฤติเศรษฐกิจเพื่อการออกพระราชบัญญัติเงินกู้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเสนอนโยบายในช่วงหาเสียงเลือกตั้งกับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา มีความแตกต่าง และจนถึงบัดนี้การดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการยังไม่ปรากฏว่าเป็นหน่วยงานใด เป็นข้อมูลที่บ่งชี้ว่า เป็นการหาเสียงโดยที่ไม่มีความพร้อม ไม่ได้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และกฎหมาย ว่านโยบายดังกล่าว จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่อย่างไรจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่ไม่ตรงปกกับที่หาเสียงไว้ และอาจเป็นกรณีตัวอย่างของการหาเสียง ที่มีลักษณะสัญญาว่าจะให้ อาจขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 (1) หรือ มาตรา 136 วรรคหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงกรณีความเสี่ยงต่อผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดของโครงการ ที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และการกำหนดเงื่อนไขในการขึ้นเงินของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ อาจจะมีความเสี่ยงในการเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้ ดังนั้นรัฐบาลต้องศึกษา วิเคราะห์ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมว่า ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง หรือบุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย พร้อมกับต้องมีขั้นตอน วิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนให้โครงการฯ สามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง
ความเสี่ยงต่อการทุจริตจากกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินจากโครงการฯ
(1) ความเสี่ยงในการรับจ้างลงทะเบียนร้านค้าในลักษณะนอมินีให้อยู่นอกระบบฐานข้อมูลภาษีของกรมสรรพากร เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หรือความเสี่ยงในการใช้ประโยชน์จากโครงการฯในการฟอกเงินจากการกระทำผิดกฎหมาย กรณีดังกล่าวรัฐบาลควรนำมาตรการหรือกระบวนการทางภาษีมาพัฒนาและประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตในกรณีนี้
(2) โอกาสหรือความเสี่ยงในการสมคบคิดร่วมกันทุจริตระหว่างผู้ประกอบการร้านค้า กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงิน โดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริง หรือการให้แลกเป็นเงินสดพร้อมกับส่วนแบ่งผลประโยชน์ ซึ่งรัฐบาลต้องมีมาตรการป้องกันที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ โดยอาจใช้มาตรการหรือกระบวนการทางภาษี หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ เป็นเครื่องมือหรือเป็นตัวบ่งชี้ในการเฝ้าระวังพร้อมกับต้องมีมาตรการที่เข้มงวด หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่บังคับใช้กฎหมาย มีการลงโทษอย่างจริงจังกับผู้กระทำการทุจริต รวมทั้งต้องรณรงค์ให้กลุ่มเป้าหมายตามโครงการฯ เข้าใจถึงผลเสียของการกระทำดังกล่าว
(3) ความเสี่ยงในการตรวจสอบสิทธิของประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯรัฐบาลต้องกำชับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบอย่างเคร่งครัด ให้ตระหนักและเข้มงวดในการตรวจสอบสิทธิของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้อยู่ภายในกรอบและคุณสมบัติของผู้มีสิทธิตามที่กำหนด
เครื่องมือ กลไก มาตรการป้องกันการทุจริต
(1) รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการฯ ควรนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องการบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน) ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 ได้ลงมติเห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดังกล่าว โดยได้วางแนวทางในการบูรณาการเพื่อป้องกันการทุจริตในขั้นตอนต่าง ๆ ของแต่ละหน่วยงานให้มีการประสานความร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพไม่ซ้ำซ้อนโดยประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการประเมินผลขั้นวางแผนก่อนดำเนินโครงการ (Pre –implementation stage) ขั้นตอนการประเมินผลการดำเนินการ (implementation stage) และขั้นตอนการประเมินผลขั้นสรุปผลหลังการดำเนินโครงการ (Post – implementation stage) มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม
(2) รัฐบาล ควรนำเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย และคู่มือการใช้เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและมีมติรับทราบเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นการด าเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) โดยตามเกณฑ์ชี้วัดฯ ดังกล่าว นอกจากจะเป็นสิ่งบ่งชี้และรายละเอียดที่พรรคการเมืองต่าง ๆ นำเสนอนโยบายภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ ฯลฯ เพื่อประกอบการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกตั้งแล้ว ยังสามารถนำมาใช้หลังจากพรรคการเมืองนั้น เข้ามาบริหารประเทศได้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย หลังจากที่ได้นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติต่อไป
2.ประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ
จากคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 และจากคำแถลงของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งได้กล่าวย้ำว่า นโยบายดังกล่าวมิใช่เป็นการสงเคราะห์ประชาชนผู้ยากไร้ แต่เป็นการเติมเงินลงในระบบเศรษฐกิจผ่านสิทธิการใช้จ่ายเพื่อให้ประชาชนมีบทบาทร่วมกับรัฐบาลในการผลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น จึงต้องมีการพิจารณาว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเพียงใด เมื่อพิจารณาจากข้อมูล ข้อเท็จจริง ตลอดจนตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจต่าง ๆ จะพบว่าได้มีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2566 ไปในทิศทางเดียวกัน โดยข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. 2566 จะขยายตัวอยู่ที่ ร้อยละ 2.5 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มีการคาดการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.4 และในระยะปานกลางจะมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ข้อมูลจากหลายหน่วยงาน อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง รวมทั้งจากนักวิชาการเศรษฐศาสตร์อิสระ ตลอดจนอาจารย์มหาวิทยาลัย มีการวิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันว่าไม่เข้าข่ายวิกฤต และยังไม่เห็นสัญญาณวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทย (ตามนิยามของธนาคารโลก) แต่อาจมีการเจริญเติบโตในอัตราที่ชะลอตัว/ต่ ากว่าศักยภาพ และเมื่อเปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันกับภาวะวิกฤตตามนิยามของธนาคารโลก/IMF เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ. 2540 วิกฤต Global Financial Crisis (GFC) ปี พ.ศ. 2551-2552 วิกฤตมหาอุทกภัยในช่วงปี พ.ศ. 2555 วิกฤต COVID-19 ปีพ.ศ. 2563 – 2564 พบว่ายังไม่เข้าข่ายภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลจากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 6/2566 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แถลงต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 และวันที่13 ธันวาคม 2566 พบว่า ส่วนต่างระหว่างการเติบโตของ GDP ในปี พ.ศ. 2567 จากการไม่รวมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet กับการรวมโครงการฯ จะอยู่ที่ + 0.6 (ไม่รวมโครงการ 3.2/รวมโครงการฯ 3.8) ในขณะที่ตัวเลขคาดการณ์ GDP ในปี พ.ศ. 2568 จะมีส่วนต่างการเติบโตของ GDP อยู่ที่ – 0.3 (ไม่รวมโครงการ 3.1/รวมโครงการฯ 2.8 ) โดย กนง. ประเมินว่า กระบวนการของ พ.ร.บ. กู้เงิน จะต้องใช้เวลาในการดำเนินการและคาดว่าผลดีของโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะลงสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของ ปี 2567 จากเดิมที่คาดว่าโครงการจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี ทั้งนี้ ผลการศึกษาเชิงประจักษ์พบว่าตัวทวีคูณทางการคลัง (fiscal multiplier) ในกรณีมาตรการเงินโอนให้กับประชาชน (transfer) มักต่ำกว่าการใช้จ่ายหรือการลงทุนโดยตรงของรัฐบาล โดยขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินโอน เงื่อนไขการใช้จ่าย และสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ใหม่ในระบบเศรษฐกิจ (new final demand)
นอกจากนี้ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ให้ข้อมูลว่าตัวทวีคูณทางการคลังในกรณีที่เป็นเงินโอนจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4 อยู่ที่การประเมินผลต่อเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับขนาดวงเงินของโครงการและเวลาที่เริ่มโครงการด้วย โดยแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีมากในช่วงเริ่มต้น (front-load) และมีผลชั่วคราว ทำให้ในปี พ.ศ. 2568 มีการคาดการณ์ตัวเลข GDP ในกรณีที่รวมผลจากโครงการฯ น้อยกว่าไม่รวมโครงการฯ ดังนั้น ในการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการใช้จ่ายงบประมาณเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นด้วย
ในขณะเดียวกันจากข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (สงร.) ได้มีการประเมินผลกระทบทางการคลังที่สำคัญของโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ดังนี้
– ภาระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 15,800 ล้านบาท/ปี (คำนวณ จาก Government Bond Yield อายุ 10 ปี วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 เท่ากับ 3.16%)
– สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.65
– การประมาณการรายได้สุทธิ หลังหักจัดสรร เพิ่มขึ้นภายใน 5 ปี ประมาณ 145,000ล้านบาท
– คาดว่าจะชำระต้นเงินกู้เพิ่มจากเดิมปีละ 125,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สำนักงบประมาณได้มีความเห็นเพิ่มเติมว่า หากต้องใช้งบประมาณสำหรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet อาจจะต้องปรับลดงบประมาณหรืองบลงทุนของหน่วยงาน ซึ่งย่อมกระทบต่อหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะเรื่องระยะเวลาการดำเนินการที่อาจต้องเลื่อนออกไป อาทิ งานก่อสร้างที่อาจจะต้องมีการขยายระยะเวลา ซึ่งกระทบต่อการใช้จ่ายภาครัฐ และเมื่อพิจารณาบทวิเคราะห์ของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่าง ๆ ต่อเศรษฐกิจไทย อาทิ Moody’s S&P Global Ratings และ Fitch Ratings พบว่าส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ที่อาจเพิ่มสูงขึ้น และหากเศรษฐกิจไทยเติบโตช้ากว่าที่มีการประมาณการไว้ประกอบกับรัฐบาลตัดสินใจดำเนินนโยบายที่มีความเสี่ยงทางการเงินการคลัง ก็อาจส่งผลต่ออันดับความน่าเชื่อถือได้(Credit Rating) ซึ่งหาก Credit Rating ลดลง ย่อมมีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมภาคเอกชนในประเทศ
ดังนั้น การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะสมดุลจะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและมีความจำเป็นเพียงใด ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ตามนิยามวิกฤตเศรษฐกิจของธนาคารโลก การจัดลำดับความสำคัญ รวมถึงการพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จึงอาจเป็นทางเลือกที่จะไม่ส่งผลกระทบทางการคลัง โดยเฉพาะดอกเบี้ยและสัดส่วนของหนี้สาธารณะได้มากกว่า
3.ประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมาย
การวางแนวนโยบายและการดำเนินโครงการภายใต้แนวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลของรัฐบาลต้องชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ในการวางแนวนโยบายจะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 71 และ มาตรา 75 อาทิ ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐพึงคำนึงถึงความจำเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของเพศ วัย และสภาพของบุคคล ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรม และพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมตลอดถึงยุทธศาสตร์ชาติที่ได้วางแนวทางในการบริหารประเทศอย่างมั่นคง และยั่งยืน
หากพิจารณานโยบายกรณีโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ซึ่งมีเงื่อนไขว่า รัฐบาลจะมอบสิทธิการใช้จ่าย 10,000 บาทให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท ถ้ามีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาทต่อเดือน แต่มีเงินฝาก 500,000 บาทขึ้นไป จะไม่ได้รับสิทธิหรือมีเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท แต่มีรายได้ 70,000บาทต่อเดือน ก็จะไม่ได้รับสิทธิควรจะต้องพิจารณาว่าได้จัดทำนโยบายโดยได้คำนึงถึงความจำเป็น และความต้องการที่แตกต่างกันของเพศ วัย และสถานภาพของบุคคล ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรม ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในข้างต้นแล้วหรือไม่
ทั้งนี้ การดำเนินโครงการภายใต้แนวนโยบายดังกล่าว รัฐบาลจะต้องตระหนัก และใช้ความระมัดระวังอย่างเคร่งครัดและรอบคอบภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ รวมทั้งแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โปร่งใส ปราศจากการทุจริตและประพฤติมิชอบ ดังนี้
การดำเนินโครงการภายใต้แนวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลของรัฐบาลจะต้องรักษามาตรฐานด้านวินัยการเงินการคลัง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 140ที่บัญญัติว่า การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้เฉพาะที่ได้รับอนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือกฎหมายที่เกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังหรือกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ เว้นแต่ในกรณีจำเป็นรีบด่วนจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีเช่นว่านี้ ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายชดใช้ในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป ดังนั้น การจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้เฉพาะตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายห้าฉบับข้างต้น
ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 53 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ซึ่งได้บัญญัติเงื่อนไขในการกู้เงินนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะไว้ว่า
1) ทำได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะ
2) และเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน กล่าวคือ ต้องอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะ ซึ่งสามารถบัญญัติกฎหมายได้เป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
– การตราเป็นพระราชบัญญัติที่จะเข้าลักษณะของการเป็นพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 134 ซึ่งต้องพิจารณาตามกระบวนการของรัฐสภา โดยผ่านสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามลำดับ ตามกำหนดระยะเวลาของการพิจารณาร่างฯ
– การตราเป็นพระราชกำหนด ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 172 โดยให้กระท าได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป ให้คณะรัฐมนตรีเสนอพระราชกำหนดนั้นต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้า ถ้าอยู่นอกสมัยประชุม และการรอการเปิดสมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า คณะรัฐมนตรีต้อง ดำเนินการให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่ อนุมัติพระราชกำหนดโดยเร็ว ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติหรือสภา ผู้แทนราษฎรอนุมัติแต่วุฒิสภาไม่อนุมัติและสภาผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรให้พระราชกำหนดนั้นตกไป แต่ทั้งนี้ไม่กระทบต่อกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น
ดังนั้น ในกรณีของโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet รัฐบาลตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า เป็นกรณีที่มีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน หรือไม่อย่างไร
ทั้งนี้ จากข้อมูลประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจในข้อ 6.2 ได้ผลสรุปโดยชัดเจนแล้วว่า สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่เข้าข่ายวิกฤต และยังไม่เห็นสัญญาณวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยมีการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2566 จะขยายตัวร้อยละ 2.5 ในระยะปานกลางขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ในปี 2567 และ 2568 มีแนวโน้มขยายตัวสมดุลมากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2568 กรณีไม่รวมโครงการขยายตัวร้อยละ 3.1 กรณีรวมโครงการขยายตัวร้อยละ 2.8 ประกอบกับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นโครงการแจกเงินเพียงครั้งเดียว จึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนและต่อเนื่องที่จะต้องดำเนินการเพื่อแก้ไข ดังนั้น หากรัฐบาลจะดำเนินการตราพระราชบัญญัติกู้เงิน 500,000 ล้านบาท เพื่อมาดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จึงควรได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ มิฉะนั้น จะมีความเสี่ยงที่จะผิดเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561
พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติมซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าว มีหลักการเพื่อให้การบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปอย่างมีระบบ มีประสิทธิภาพ และควบคุมดูแลการก่อหนี้โดยรวมเพื่อให้ภาระหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับฐานะการเงินการคลังของประเทศ โดยกฎหมาย (มาตรา 20) บัญญัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
(1) เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ (มาตรา 21)
(2) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
(3) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
(4) เพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ภายในประเทศเงินที่ได้รับจากการกู้ตาม (2) – (5) ให้นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ได้โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ดังนั้น การกู้เงินของรัฐบาลต้องเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ที่กล่าวข้างต้น การกู้เงินที่มิใช่เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว กระทรวงการคลังไม่มีอำนาจกระทำได้
พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หากรัฐบาลดำเนินการกู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อด าเนินการตามนโยบาย กรณี การเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน DigitalWallet โดยออกเป็นพระราชบัญญัติเงินกู้จะสามารถเบิกจ่ายเงินแผ่นดินได้หรือไม่ และอาจมีความเสี่ยงในการขัดต่อพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่ เมื่อพิจารณาประกอบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3 – 4/2557 ซึ่งมีการวินิจฉัยว่า การกู้เงินตามพระราชบัญญัติเงินกู้ ถือเป็น “เงินแผ่นดิน” ดังนั้น การจ่ายเงินแผ่นดินต้องปฏิบัติตาม มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6 ซึ่งมาตรา 6 กำหนดให้จ่ายเงินแผ่นดินได้ภายใต้กฎหมาย 5 ฉบับ ได้แก่
– งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม พระราชบัญญัติโอนเงินในงบประมาณ มติให้จ่ายเงินไปก่อน หรือพระราชกำหนดที่ออกตามความในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่ง “พระราชบัญญัติเงินกู้” มิใช่ประเภทกฎหมายตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 6 จึงอาจมีประเด็นว่า หากรัฐบาลออกเป็นพระราชบัญญัติเงินกู้ จะสามารถเบิกจ่ายเงินกู้จำนวน 5 แสนล้านบาท จากบัญชีเงินคงคลังที่ 2 ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้หรือไม่
– พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 การดำเนินโครงการภายใต้แนวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลของรัฐบาล มีลักษณะของการให้เงินกับประชาชนในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ที่กำหนดให้เงินตรา ได้แก่ เหรียญกษาปณ์ และธนบัตร (มาตรา 6) หน่วยของเงินตราเรียกว่า “บาท” (มาตรา 7) และห้ามมิให้ผู้ใดทำ จำหน่าย ใช้ หรือนำออกใช้ ซึ่งวัตถุหรือเครื่องหมายใด ๆ แทนเงินตรา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี (มาตรา 9) เจตนารมณ์ของกฎหมายประสงค์ให้มีเงินตราสกุลบาท เป็นระบบเงินตราหลักเพียงระบบเดียวของประเทศ
ดังนั้น หากมีการสร้างเงินดิจิทัลโดยไม่มีการอ้างอิงกับเงินตรา และนำมาใช้ในสาระเช่นเดียวกับเงินตรา เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนหรือชำระราคาให้ได้ไปซึ่งสินค้าหรือบริการโดยไม่มีเงินงบประมาณรองรับทั้งจำนวน เงินดิจิทัลดังกล่าว ย่อมถือเป็นวัตถุหรือเครื่องหมายอื่นใดแทนเงินตรา ซี่งอาจเข้าข่ายกระทำความผิดตามมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และดำเนินการภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนด เพื่อไม่ให้เป็นการขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของกฎหมาย
4.ประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)
จากข้อมูลที่ปรากฏตามคำแถลงของนายกรัฐมนตรี ประกอบกับข้อมูลที่ปรากฏตามสื่อมวลชน พบว่าโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะใช้เป็นเงินบาท ไม่ใช่เหรียญ Cryptocurrency ไม่มีการนำไปเทรดในตลาด Exchange ทั้งหลาย และใช้ดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ของแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” แต่มีการระบุว่าจะมีการพัฒนาต่อยอดของแอพพลิเคชั่นเป๋าตัง ให้สามารถทพงานโดยมีBlockchain อยู่ด้านหลังเป็นโครงสร้างพื้นฐาน แต่จากประเด็นดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนว่า จะมีการปรับปรุงระบบเป๋าตัง ให้มาใช้ Blockchain ได้อย่างไร จะปรับใช้เมื่อใด
จุดเด่นของ Blockchain คือ การแก้ไขข้อมูล หรือประวัติการทำธุรกรรมทำได้ยาก เนื่องจาก Blockchain ทำงานลักษณะกระจายการเก็บข้อมูล โดยไม่ต้องมีผู้ดูแลกลาง ทำให้มีความโปร่งใสในการตรวจสอบข้อมูล ปัจจุบันมีการน า Blockchain ไปใช้งานในหลายด้าน ไม่ใช่เฉพาะด้านที่เกี่ยวกับการเงินเพียงอย่างเดียว เช่น การตรวจสอบเรื่องที่ดิน เป็นต้น ในส่วนประสิทธิภาพการทำงานของบล็อกเชน(Blockchain) จึงขึ้นอยู่กับจำนวน Node เข้าร่วม ประสิทธิภาพของ Node ปริมาณจำนวนข้อมูล ขนาดข้อมูลและลักษณะของการทำงานระบบ ซึ่งถ้ามุ่งเน้นในเรื่องการตรวจสอบข้อมูลผ่าน Blockchain ก็อาจจะส่งผลให้ความเร็วในการทำธุรกรรมช้าลง และที่สำคัญ Blockchain เป็นระบบที่ไม่สามารถป้องกันการทุจริตได้
ทั้งนี้หากมีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ในโครงการเติมเงิน10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยปรับปรุงแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ของธนาคารกรุงไทย ให้มีการนำบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้งาน จะมีประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องพิจารณา เช่น การพัฒนาบล็อกเชน (Blockchain) ที่สามารถรองจำนวนผู้ใช้งานประมาณ 50 ล้านคน และต้องรองรับการใช้งานจำนวนมากต่อนาที ต้องใช้ระบบที่มีขนาดใหญ่ ทรัพยากรจำนวนมาก ระยะเวลาในการพัฒนาและทดสอบระบบมาก และงบประมาณในการพัฒนาจำนวนมาก และอาจจะไม่ทันต่อการดำเนินโครงการ ทำให้มีความเสี่ยงในการดำเนินโครงการที่จะล่าช้าออกไป
นอกจากนี้หากมีการนำบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้งานในระบบเป๋าตัง ในลักษณะ Public Blockchain เพื่อเปิดให้มีการเข้าตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ อาจจะมีประเด็นต้องพิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่หากนำมาใช้ในลักษณะ Private Blockchain ที่มีธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ดูแลกลาง ความน่าเชื่อถือและการดูแลจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกรุงไทย
ดังนั้น รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้กับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet และเห็นว่าระบบแอปพลิเคชันเป๋าตัง เป็นระบบที่มีสถาบันการเงินเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมที่สามารถรองรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ได้อยู่แล้วและสามารถตรวจสอบได้
ประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง
เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 จะเห็นว่า กฎหมายระบุว่า ให้พรรคการเมืองจัดทำข้อมูลในการประกาศนโยบายให้ครบถ้วน ถูกต้องตามที่กำหนด ชี้แจงเป็นรายการมายัง กกต. หากพรรคการเมืองฝ่าฝืน กกต. มีอำนาจปรับไม่เกิน 500,000 บาท และปรับอีกวันละ 10,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง
อนึ่ง กฎหมายไม่ได้กำหนดให้พรรคการเมืองจะต้องแจ้งนโยบายที่จะใช้ในการประกาศโฆษณาเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งต่อ กกต. พิจารณาตรวจสอบ ก่อนที่จะดำเนินการโฆษณาจึงอาจเป็นช่องทางหรือความเสี่ยงที่ทำให้พรรคการเมืองนำนโยบายที่เป็นไปได้ยากหรือไม่มีการศึกษาอย่างรอบคอบมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียง แต่ภายหลังได้รับการเลือกตั้งกลับไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้และที่ผ่านมาในทางปฏิบัติ กกต. มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบนโยบายว่า มีการจัดทำรายการครบถ้วน ตามมาตรา 57 (1) – (3) หรือไม่ และในกรณีของการวิเคราะห์นโยบายของพรรคการเมือง กกต.จะต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเรื่องนี้เพื่อเป็นการสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายตั้งแต่ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย เพื่อเป็นการลดโอกาสหรือลดความเสี่ยงของนโยบายที่มีแนวโน้มในการทุจริต หรือมีโอกาสในการสร้างความเสียหายต่อประเทศรวมทั้งการกำหนดมาตรการหรือกลไกที่จะป้องกันไม่ให้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลังจากเมื่อมีการประกาศนโยบายแล้ว ผู้กำหนดนโยบายไม่สามารถดำเนินการได้หรือดำเนินการได้บางส่วน หรือมีความเสียหายเกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายนั้น ๆ
ในประเด็นดังกล่าวข้างต้น สำนักงาน ป.ป.ช. ได้จัดทำเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบายในขั้นตอนการพัฒนานโยบาย ขึ้นเพื่อเป็นกลไกป้องกันการทุจริตที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. พัฒนามาจากเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงเพื่อสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายในโครงการของรัฐที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 โดยได้มีการทบทวนปรับปรุงเกณฑ์ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทการเมืองไทยในปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นกลไกในการสร้างความโปร่งใสในกระบวนการพัฒนานโยบายของพรรคการเมือง ซึ่งจะช่วยในการป้องกัน ระงับ ยับยั้ง การทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นในปัจจุบันที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมหาศาล ตลอดจนจะช่วยเป็นเครื่องมือให้พรรคการเมืองได้แสดงเจตนารมณ์ที่ดีในการอธิบายที่มา วัตถุประสงค์ ความคุ้มค่า ผลกระทบความเป็นไปได้ของนโยบายที่กำหนดขึ้นมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง รวมทั้งเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มติเห็นชอบเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 และให้เสนอต่อ กกต.ตามนัยมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เพื่อนำไปประกอบการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ต่อไป
ซึ่งในส่วนนี้จะต้องมีการสรุปผลการดำเนินการขับเคลื่อนเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ ดังกล่าว ว่า สำนักงาน กกต. ได้นำแบบฟอร์มของสำนักงาน ป.ป.ช. ไปบูรณาการร่วมกับแบบรายงานของ กกต. หรือไม่ และมีผลการดำเนินงานอย่างไร เพื่อให้การสกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
(2) การนำเสนอนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองโดยเฉพาะโครงการแจกเงินเป้าหมายเพื่อมุ่งประสงค์ได้รับเลือกจากประชาชนอาจเข้าข่าย “สัญญาว่าจะให้”เพราะยังไม่มีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ทางการคลังของประเทศ ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 และเมื่อพิจารณาในรายละเอียดจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน และไม่ได้กำหนดหน่วยของรัฐใดเป็นเจ้าของโครงการเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการ ก่อให้เกิดการรับรู้ของประชาชนและต่างประเทศว่าเศรษฐกิจไทยย่ำแย่ถึงขนาดต้องแจกเงิน ทั้ง ๆ ที่ ตัวเลขเศรษฐกิจอยู่ในภาวะปกติกรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 และหรือมาตรา 136
ข้อเสนอแนะ
จากประเด็นพิจารณาในข้างต้น สำนักงาน ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณี การเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ตามนัยมาตรา 32แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ดังนี้
1. ในการดำเนินโครงการฯ รัฐบาลต้องศึกษา วิเคราะห์ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมว่าผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง หรือบุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย และบุคคลที่มิได้เป็นคนจนหรือมิใช่กลุ่มเปราะบางที่แท้จริง พร้อมกับต้องมีขั้นตอน/วิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อให้โครงการฯ สามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง
2. ในการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ต่อมาเมื่อพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล และได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 สำหรับโครงการดังกล่าวมีความแตกต่างกัน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งควรดำเนินการตรวจสอบว่าขัดรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาประกอบการพิจารณามิฉะนั้นจะเป็นบรรทัดฐานสำหรับพรรคการเมืองสามารถหาเสียงไว้อย่างไรก็ได้ เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม
3. จากตัวเลขภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้จากการศึกษา และตัวทวีคูณทางการคลัง และตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตของธนาคารโลกและ IMF ปรากฏว่าอัตราความเจริญเติบโตของประเทศไทยยังไม่เข้าข่ายประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแต่ประการใด เพียงแต่ชะลอตัวเท่านั้น ดังนั้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน จำเป็นต้องพิจารณาโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น การบริโภคภาคเอกชน อัตราการว่างงาน การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การเพิ่มทักษะให้แก่แรงงาน เป็นต้น
4. การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต ภายใต้หลักธรรมาภิบาล 4 ด้าน คือ ความโปร่งใส (Transparency) การถ่วงดุล (Checks and Balances) การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง(Fiscal Integrity) และความคล่องตัว (Flexibility) ซึ่งโครงการนี้มีผลเสียมากกว่าผลดี กล่าวคือต้องกู้เงินจำนวน 500,000 ล้านบาท ในขณะที่ตัวทวีคูณทางการคลังมีเพียง 0.4 การกู้เงินเป็นการสร้างภาระหนี้แก่รัฐบาลและประชาชนในระยะยาว ซึ่งจะต้องตั้งงบประมาณในการชำระหนี้จำนวนนี้เป็นระยะเวลา 4-5 ปีกระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ
5. การดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (มาตรา 172) พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 (มาตรา 53) พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา 4 5 6) ตลอดจนกฎหมาย คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย
6. คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีการประเมินความเสี่ยงในการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet อย่างรอบด้าน โดยกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการบริหารความเสี่ยง และการป้องกันการทุจริต ตลอดจนมีกระบวนการในการตรวจสอบทั้งก่อน ระหว่าง และหลังจากการดำเนินโครงการ ซึ่งอาจพิจารณานำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องการบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านDigital Wallet สามารถดำเนินการได้อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง
7. การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ควรพิจารณากลุ่มประชาชนเป้าหมายที่เปราะบางที่สุดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน
8. ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้กับโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสมตลอดจนระยะเวลา และงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ซึ่งโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นการแจกเงินเพียงครั้งเดียวโดยให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน การพิจารณาใช้แอปพลิเคชันเป๋าตัง จะเป็นประโยชน์และเหมาะสมกว่า
ทั้งนี้จากข้อมูลประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ได้ผลสรุปชัดเจนแล้วว่าสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่เข้าข่ายวิกฤติ และยังไม่เห็นสัญญาณวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยมีการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2566 จะขยายตัวร้อยละ 2.5 ในระยะปานกลาง ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ในปี 2567 และ 2568 มีแนวโน้มขยายตัวสมดุลมากขึ้น โดยคาดว่าปี 2568 กรณีไม่รวมโครงการ ขยายตัวร้อยละ 3.1 กรณีรวมโครงการขยายตัวร้อยละ 2.8 ประกอบกับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เป็นโครงการแจกเงินเพียงครั้งเดียว จึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน และต่อเนื่องที่จะต้องดำเนินการเพื่อแก้ไข ดังนั้นหากรัฐบาลจะดำเนินการตรา พ.ร.บ.กู้เงินฯ 5 แสนล้านบาท เพื่อมาดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จึงควรได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ มิฉะนั้นจะมีความเสี่ยงที่จะผิดเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง 2561 ดังนั้นรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และดำเนินการภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนด เพื่อไม่ให้เป็นการขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของกฎหมาย
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่าน Digital Wallet (บอร์ดชุดใหญ่) เปิดเผยว่าช่วงเช้าของวันนี้ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital wallet ได้ส่งข้อความถึงกรรมการฯทุกคน ว่าขอเลื่อนการประชุมฯในวันนี้เวลา 15.30 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล ออกไปก่อน และอยู่ระหว่างจัดทำหนังสือเลื่อนการประชุมเพื่อส่งให้อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ยังไม่ได้มีการนัดหมายวัน เวลา ในการประชุมครั้งใหม่แต่อย่างไร อย่างไรก็ตามรัฐบาลมั่นใจว่าในโครงการนี้ยังเป็นไทม์ไลน์เดิมคือพยายามให้ประกาศใช้ในเดือน พ.ค.2567