การซ้อมรบระหว่างสหรัฐ-ออสเตรเลีย “Talisman Saber 2023”
ออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา เปิดฉากปฏิบัติการซ้อมรบร่วมครั้งใหญ่ที่สุดในวันพฤหัสบดี (29 มิ.ย.) ส่งสัญญาณท้าทายจีน ที่กำลังแผ่ขยายอิทธิพลทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหารเข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การซ้อมรับครั้งนี้มีกำลังทหารจากทั้งสองประเทศเข้าร่วมกว่า 33,000 นาย ยังไม่นับรวมกับเรือรบ และ เครื่องบินขับไล่อีกจำนวนมาก พลเรือเอก แฮร์รีย์ แฮร์ริส ผู้บัญชาการกลางกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวบนเรือยูเอสเอส บอนฮ็อมม์ ริชาร์ด โดยระบุว่า สหรัฐฯรู้สึกยินดีที่การซ้อมรบร่วมกับออสเตรเลียในครั้งนี้ ได้ส่งสัญญาณไปยังชาติพันธมิตรของสหรัฐฯให้มีความมั่นใจว่า
ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของกองทัพเรือกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) ได้วิเคราะห์ว่า การซ้อมรบระหว่างสหรัฐ-ออสเตรเลีย จะก่อให้เกิดความไม่สงบในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ Antony Blinken และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม Lloyd Austin ได้เข้าร่วมการประชุม US-Australia 2+2 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 28-29 ก.ค.66 ในขณะที่การฝึก Talisman Saber 2023 ที่ทั้งสองประเทศจัดขึ้นร่วมกันตั้งแต่วันที่ 22 ก.ค.66 และจะสิ้นสุดในวันที่ 4 ส.ค.66 เพื่อทดสอบความสามารถของกองทหารที่เข้าร่วมในการวางแผนและปฏิบัติตามการปฏิบัติการทางทหารร่วมกัน ปรับปรุงความพร้อมรบและความสามารถในการปฏิบัติการร่วม และเติมเต็มความมุ่งมั่นของความร่วมมือระหว่างพันธมิตร โดยมีการเชิญกองทหารจาก 11 ประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร เยอรมนี แคนาดา และฝรั่งเศส รวมกว่า 30,000 นาย รวมถึงทหารสหรัฐ 17,000 นาย และทหารออสเตรเลีย 10,000 นาย พร้อมด้วยเรือมากกว่า 20 ลำ เครื่องบินกว่า 60 ลำ และยานเกราะ สำหรับพื้นที่ปฏิบัติการจะทอดยาวตั้งแต่ตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลคอรัลไปจนถึงตะวันออกเฉียงใต้ของอ่าวเจอร์วิสในออสเตรเลีย
ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้อ้างกรรมสิทธิ์และอธิปไตยของตนเหนือดินแดนเกาะแก่งเกือบทั้งหมดในน่านน้ำทะเลจีนใต้ที่เป็นเส้นทางผ่านของเรือสินค้า ที่ทำหน้าที่ขนส่งสินค้าที่มีมูลค่ารวมสูงถึงปีละ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 170 ล้านล้านบาท) และยังเชื่อว่า เป็นที่ตั้งของแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาล นอกจากการอ้างอธิปไตยเหนือเกาะแก่งตามธรรมชาติในทะเลจีนใต้แล้ว ที่ผ่านมาทางการจีนยังเดินหน้าสร้าง “เกาะเทียม” อีกหลายแห่งในน่านน้ำระหว่างประเทศแห่งนี้ที่กลายเป็น “พื้นที่พิพาท” ที่หลายชาติต่างอ้างกรรมสิทธิ์ทั้งบรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม รวมถึงไต้หวัน
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ตั้งใจที่จะจำลองการปฏิบัติการร่วมและขั้นตอนการสนับสนุนด้านการส่งกำลังบำรุงสำหรับสงครามในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นในเอเชีย-แปซิฟิกกับพันธมิตร รวมทั้งการยกระดับการซ้อมรบร่วมและความสามารถในการโจมตีหลายพื้นที่ โดยเน้นที่หัวข้อต่าง ๆ รวมถึงการป้องกันทางอากาศร่วม การต่อต้านเรือดำน้ำ การโจมตีทางบกและทางทะเล การยกพลขึ้นบก และสงครามข้อมูล อีกทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกแก่กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นในการขยายพื้นที่ปฏิบัติการอย่างโจ่งแจ้ง สำหรับกิจกรรมทางทหารในต่างแดน จึงเป็นการทำลายข้อจำกัดในการใช้กำลังทางทหารภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งสันติและนโยบายเน้นการป้องกันตนเองของญี่ปุ่น ซึ่งสหรัฐฯ พยายามปลุกปั่นสถานการณ์และกระตุ้นความตึงเครียดในภูมิภาคด้วยการหว่านล้อมพันธมิตรและผูกมัดประเทศอื่นๆ ให้มุ่งทำหน้าที่เป็น “เบี้ย” ของสหรัฐฯ โดยชี้เป้าไปที่จีน
ด้านเจมส์ เคอร์แรน ศาสตราจารย์ด้านการเมืองและนโยบายต่างประเทศประจำมหาวิทยาลัยซิดนีย์ในออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า แม้การซ้อมรบร่วมในครั้งนี้จะฉายภาพของความสัมพันธ์ทางทหารที่ใกล้ชิดระหว่างสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย แต่ก็ต้องยอมรับว่า การซ้อมรบขนาดใหญ่เช่นนี้ ย่อมสร้างความกังวลใจให้กับจีนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งนี้ การซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯและออสเตรเลียในครั้งนี้ จะดำเนินต่อเนื่องนานกว่า 1 เดือน โดยจะมีทั้งการซ้อมรบทางทะเล ทางบกและทางอากาศ