โค้งสุดท้ายเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการะหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ กับรองประธานธิบดีแฮร์ริส
การเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกา เป็นกระบวนการที่ยาวนาน และประกอบไปด้วยการเลือกตั้งใหญ่ ๆ 2 ขั้นตอนด้วยกัน ขั้นตอนแรกคือ การเลือกตั้งขั้นต้น ซึ่งเป็นการเลือกตั้งผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ ขั้นตอนที่สองคือ เมื่อมีการเลือกผู้สมัครอย่างเป็นทางการสำหรับแต่ละพรรคแล้ว กระบวนการการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่แท้จริงก็จะเริ่มต้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีขึ้นทุก ๆ 4 ปี
การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอังคารแรกหลังจากวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ผู้ออกเสียงลงคะแนนชาวอเมริกันจะเห็นชื่อของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีบนบัตรเลือกตั้ง แต่จริง ๆ แล้ว คะแนนเสียงของพวกเขาจะเลือก “ผู้เลือกตั้ง” ซึ่งให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนผู้รับสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีบนบัตรเลือกตั้งนั้น ๆ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเพียงหนึ่งในการเลือกตั้งหลายร้อยการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปี ซึ่งผู้ออกเสียงลงคะแนนได้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ผู้ว่าการรัฐ สภานิติบัญญัติของรัฐ นายกเทศมนตรี ผู้พิพากษา และตำแหน่งอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยหลังจากการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อให้ได้ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคใหญ่ รวมถึงได้ตัวผู้สมัครอิสระ ก็ถึงเวลาที่ชาวอเมริกันจะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งคะแนนจากประชาชนจะยังไม่ใช่การตัดสินผู้ที่ได้รับตำแหน่งผู้ประเทศโดยตรง แต่จะเป็นการลงคะแนนเพื่อเลือก “ผู้เลือกตั้ง” ในรัฐต่าง ๆ ที่มีอยู่ 50 รัฐ
สำหรับคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐจะมีจำนวนไม่เท่ากัน ขึ้นกับจำนวนประชากรและปัจจัยต่าง ๆ แต่ในบรรดาทั้ง 50 รัฐ จะมีคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งรวมทั้งหมด 538 เสียง ซึ่งผู้ที่จะได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี คือผู้ที่ได้รับคะแนนเสียง มากกว่า 270 เสียงขึ้นไป เนื่องจากผู้ที่ชนะการเลือกตั้งคือผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งมากที่สุด ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า ผู้ชนะการเลือกตั้งอาจไม่ใช่ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดจากประชาชนทั่วประเทศ (popular vote) หากไม่สามารถคว้าคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากคณะผู้เลือกตั้งได้
สหรัฐฯ เป็นการบริหารจัดการในระดับท้องถิ่นอย่างแท้จริง สหรัฐฯ แบ่งออกเป็น 50 รัฐ การเลือกตั้งจะใช้ระบบระดับรัฐและท้องถิ่นหลายพันระบบ ไม่ใช่ระบบแบบเดียวกันทั้งประเทศ แม้ว่ารัฐต่าง ๆ ทั่วประเทศจะมีระบบการลงคะแนนและการนับคะแนนที่แตกต่างกัน แต่ทุกรัฐล้วนมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าการนับคะแนนเป็นไปตามที่มีการลงคะแนน ขั้นตอนเหล่านั้นรวมไปถึงการนับคะแนนเสียงใหม่ การตรวจสอบ และการตรวจความถูกต้องของระบบการลงคะแนนก่อนการเลือกตั้ง แต่ละรัฐมีจำนวนคะแนนเสียงผู้เลือกตั้งที่แน่นอนซึ่งกำหนดขึ้นจากจำนวนประชากรในรัฐนั้น ๆในบรรดารัฐทั้งหมด 50 รัฐมีคะแนนเสียงผู้เลือกตั้งทั้งหมด 538 เสียง
อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งไม่ได้จบลงในวันเลือกตั้งตอนต้นเดือนพฤศจิกายน คะแนนเสียงผู้เลือกตั้ง 538 เสียงที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแต่ละคนได้รับ มาจากบุคคล 538 คนจริง ๆ ที่เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้ง” ในช่วงกลางเดือนธันวาคม คณะผู้เลือกตั้งจะเลือกผู้สมัครที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยผู้สมัครจะต้องได้รับคะแนนเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่ง (270 เสียง) จึงจะชนะการเลือกตั้ง
ในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม สภาคองเกรส (วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร) จะประชุมกันเพื่อนับคะแนนเสียงผู้เลือกตั้ง จากนั้นจึงประกาศชื่อผู้ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี
หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ ในวันที่ 20 มกราคม ผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจะเข้าพิธีสาบานตนเพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า จากการสำรวจผู้มีแนวโน้มจะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 7,879 คน ใน 7 รัฐ ระหว่างวันที่ 24 ต.ค. ถึง 2 พ.ย. พบว่า รองปธน.แฮร์ริสนำอยู่เล็กน้อยใน 3 รัฐ ได้แก่ เนวาดา นอร์ทแคโรไลนา และวิสคอนซิน ขณะที่อดีตปธน.ทรัมป์นำเล็กน้อยในรัฐแอริโซนา ส่วนอีก 3 รัฐที่เหลือ คือ มิชิแกน จอร์เจีย และเพนซิลเวเนีย ทั้งคู่ยังทำคะแนนสูสีกันมาก
ผลสำรวจในทั้ง 7 รัฐพบว่า คะแนนของผู้สมัครทั้งสองคนมีความใกล้เคียงกันมาก โดยมีความแตกต่างไม่เกิน 3.5% ซึ่งถือเป็นค่าความคลาดเคลื่อนของการทำโพลล์ครั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ประมาณ 40% ของผู้ตอบแบบสอบถามได้ลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าไปแล้ว ในกลุ่มนี้แฮร์ริสได้คะแนนนำทรัมป์อยู่ 8% แต่ในทางกลับกัน ทรัมป์กลับได้คะแนนนำในกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้ไปเลือกตั้งแต่ยืนยันว่าจะไปใช้สิทธิ์อย่างแน่นอน สำหรับรัฐเพนซิลเวเนียที่ตอนนี้คะแนนเท่ากันนั้น สะท้อนให้เห็นว่าทรัมป์กำลังมาแรงขึ้น เพราะก่อนหน้านี้แฮร์ริสเคยนำอยู่ 4% ในผลโพลล์นิวยอร์กไทมส์ทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้สมัครทั้งสองต่างเดินสายหาเสียงในรัฐสมรภูมิ โดยทรัมป์มีกำหนดลงพื้นที่ 3 รัฐในวันอาทิตย์ ได้แก่ เพนซิลเวเนีย นอร์ทแคโรไลนา และจอร์เจีย ส่วนแฮร์ริสจะไปหาเสียงที่รัฐมิชิแกน
ขณะนี้ทั่วโลกกำลังรอคอยจะได้เห็นว่าใครจะเป็นผู้รับไม้ต่อสิ่งที่ถูกเรียกว่าประภาคารแห่งนี้ หลังจากชาวอเมริกันตัดสินใจผ่านการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า กมลา แฮร์ริส จะเดินตามรอย ไบเดน หรือไม่ด้วยความเชื่อมั่นของเธอที่ว่า “ในช่วงเวลาที่ไม่สงบนี้ ชัดเจนว่าอเมริกาไม่สามารถถอยหลังกลับได้” หรือจะเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าของความหวังที่ว่า “ลัทธิอเมริกันนิยมต่างหาก ไม่ใช่โลกาภิวัตน์” ที่จะนำทาง เราอยู่ในโลกที่ค่านิยมของสหรัฐฯ ที่แผ่อิทธิพลในระดับโลกถูกตั้งคำถาม กลุ่มอำนาจในภูมิภาคต่าง ๆ กำลังดำเนินเดินไปตามแนวทางของตน ระบอบเผด็จการกำลังสร้างพันธมิตรให้ตนเอง และสงครามอันเลวร้ายในฉนวนกาซา ยูเครน และพื้นที่อื่น ๆ ก่อให้เกิดคำถามที่น่าอึดอัดใจเกี่ยวกับคุณค่าของบทบาทของวอชิงตัน แต่สหรัฐฯ ก็มีความสำคัญในด้านเศรษฐกิจและการทหาร รวมถึงสำคัญเพราะบทบาทหลักที่มีต่อพันธมิตรหลากหลายกลุ่ม
The final round of the U.S. presidential election between Donald Trump and Vice President Harris.
The presidential election in the United States is a long process and consists of two major elections. The first step is the primary election, which is the presidential candidate from two major political parties. The second step is when an official candidate is selected for each party. The actual presidential election process begins. The U.S. presidential election takes place every four years.
The election will take place on the first Tuesday after the first Monday of November. American voters will see the names of presidential candidates on their ballots, but actually their votes will choose “electors,” which pledged to support presidential candidates on them. U.S. presidential elections It is just one of the hundreds of elections that occur every four years, in which voters elect members of the House of Representatives and the Senate, governors, state legislators, mayors, judges and many other positions.
After the primary election to win a presidential candidate from a major party, including an independent candidate, it is time for Americans to exercise their right to vote. The popular vote will not be a direct judgment of the country’s elected candidates, but rather a vote to elect “electors” in 50 different states.
Vote of voters in each state will be uneven depending on population and factors, but among the 50 states, a total of 538 votes will be cast from the electorate. The presidential nominee is the one who gets more than 270 votes. Since the winner is the candidate who gets the most votes from the electorate, it is possible that the winner may not be the most popular candidate if the majority of the electorate cannot be won.
The U.S. is truly a local government. The U.S. is divided into 50 states. Elections use thousands of state and local systems, not the same system in the whole country. Although states across the country have different voting and counting systems, all states effectively check and balance each other’s power. To ensure that the votes are counted accordingly, those procedures include re-counting, auditing, and validation of the pre-election voting system. Each state has a certain number of voters, which is determined based on the population of those 50 states with a total of 538 votes.
How? Well, the election did not end on the election day at the beginning of November. The 538 votes each presidential candidate received came from 538 real people called “electors.” In mid-December, the electorate will choose a candidate to run for president. More than half (270 votes) To win the election.
In the first week of January, Congress (Senate and House of Representatives) will meet to count the votes of the electors. Then, the names of the elected president and vice president are announced.
Two weeks later, on January 20, the presidential nominee will be sworn in for the presidency of the United States in Washington, D.C. C.
According to a survey of 7,879 eligible voters in seven states during October 24, the Reuters news agency reported. C. to 2 May Y found that Vice President Harris led a little in three states: Nevada, North Carolina and Wisconsin, while former President Trump led a little in Arizona, while the remaining three states, Michigan, Georgia and Pennsylvania, both scored very close.
A survey of seven states found that the scores of the two candidates were very similar, with a difference of no more than 3. 5%, which is a margin of error. According to the poll, about 40 percent of respondents voted in advance. In this group, Harris scored 8 percent ahead of Trump, but on the other hand, Trump has returned the lead among those who have yet to vote since insisting on absolute eligibility for Pennsylvania, where the same score is now. Reflecting Trump’s growing momentum, Harris had a 4% lead in every New York Times poll. The two candidates are campaigning in three battle states on Sunday: Pennsylvania, North Carolina and Georgia, and Harris will seek votes in Michigan.
Now, the world is looking forward to seeing who. Will it be the recipient of what is called this lighthouse after Americans decide to go through next week’s U.S. presidential election? Will Harris follow Biden’s conviction that “in these unsettled times, it is clear that America cannot back down?” or will be Donald Trump, the owner of the hope that “Americanism is. It’s not globalization.” To guide us, we live in a world where U.S. values are being questioned. Regional authorities are going their own way. The dictatorship is forming alliances. And the terrible wars in Gaza, Ukraine and other areas raise awkward questions about the value of Washington’s role, but the U.S. It is also important in terms of economic and military importance, as well as because it plays a major role in various alliances.
https://thailandtoday2020news.blogspot.com/2024/11/blog-post.html